...เรื่องนี้สำคัญมาก ส่วนมากเราใช้ "พารา" ระงับเวทนา ไม่ได้ใช้ "ภาวนา" ระงับเวทนา มีอะไรก็เอา "พารา" มาให้ อันนี้ยังนอกกาย น่าจะใช้ของที่อยู่ในจิตของเราแก้เวทนา อันนี้จะเป็นประโยชน์ และเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะแก้เวทนา คือทางพระพุทธศาสนาให้จดจ่ออยู่ที่เวทนา เราเจ็บอยู่ที่ไหนให้ดูที่นั่น และดูความเปลี่ยนแปลงของเวทนา เพราะเวทนามันไม่อยู่นิ่ง ถ้าเราดูที่เวทนามันก็จะจดจ่อ
เช่นครั้งหนึ่งอาตมาไปยกของหนักแล้วก็คอเคล็ดมาทับเสันประสาท เส้นประสาทอักเสบ เส้นประสาทมันอักเสบมันทำให้กระดูกทับเส้นประสาท วันนั้นก็ไปอยู่ที่วัดอื่นและได้รับนิมนต์ไปฉันในบ้าน ที่นี้เวลานั่งรถปิคอัพ มันเป็นถนนแบบบ้านนอกมันกระเทือน ทำให้กระดูกทับเส้นประสาทพอดี ไปถึงบ้านโยม คิดว่าจะอาเจียนในบ้านของเขา เพราะมันปวดมากๆ มีพระเก้ารูป อาตมาเป็นองค์ที่สอง ดีที่หัวหน้าท่านนำสวดได้อาตมาปวดจนนั่งไม่ได้ ต้องนั่งพิงฝาผนังเขาและนั่นหลับตาเพราะถ้าลืมตาจะอาเจียน ถ้าอาเจียนในบ้านเขา เขาคงคิดว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ก็เลยพยายามกลั้นไว้ กลั้นไว้เพราะสงสารโยมเขานิมนต์พระไปสวดในบ้านใหม่ อยากให้เป็นสิริมงคล พระมาแล้วอาเจียนในบ้าน ไม่เป็นสิริมงคล ใจจะหายก็เลยตั้งจิตว่าต้องอยู่นิ่งที่สุดเพราะมันทรมาน มันทรมานมากเราไม่มีที่ไปแล้ว มันปวดมากๆ จนจิตจะพึงอย่างอื่นไม่ได้ ก็เลยไปพึ่งที่เวทนา เอาละเวทนามันกล้าที่สุดแล้ว ต้องจดจ่อที่การเกิดดับของเวทนา และดูว่าถ้าเราเป็นชาวพุทธเราต้องพึ่งอะไร ต้องพึ่งว่าเวทนามันอนิจจัง มันไม่แน่นอนมันไม่เที่ยง ก็เลยพึ่งอาศัยสัจธรรมอันนี้ ดูความไม่เที่ยงของเวทนา
และเมื่อเราจดจ่อดูความไม่เที่ยงของเวทนา เราเห็นเวทนามันวูบวาบ วูบวาบตลอดเวลา มันก็ทุกข์อยู่ แต่ใจรู้สึกว่าเกิดปิติสุขเพราะปัญญาที่รู้เวทนา รู้เท่าทันทุกขเวทนา รู้อาการของเวทนา นี่เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน การรู้ตามความเป็นจริงว่าเวทนาเป็นอนิจจัง ก็เลยทำให้อาตมามีความรู้สึกว่า เออ ดีมากๆ ที่มันทุกข์ที่สุดในบ้านของโยม มันทำให้บังคับจิตจดจ่อกับการรู้เวทนานั้น เกิดปิติสุข มันทรมานอยู่ ถึงจะทรมานทางกายแต่จิตสบาย จิตสบายในการรู้โดยปัญญา ซึ่งเป็นวิธีที่สำคัญมากในการรู้เวทนา...
ถอดคำเทศน์จาก เดินตามรอย
No comments:
Post a Comment