Tuesday, March 17, 2009

ไม่เผลอก็ไม่ทุกข์

การทำบุญให้ทานรักษาศีลก็ดีอยู่ แต่มันดับทุกข์ไม่ได้ สมมติให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง เรามีเงินปลูกบ้านหลังหนึ่งสวยงามมาก แล้วเราก็เอาน้ำมันเบนซินมาราด ใช้ไม้ขีดก้านเดียวจุดไฟทิ้งลงไป ไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลัง ถ้าฝนตกไปนั่งตรงนั้นอยู่ตรงนั้นก็ต้องเปียก ถ้าแดดออกเราไปนั่งอยู่ก็ต้องร้อน อันนี้เปรียบได้กับความดีความงามที่เราสร้างสมมา พอโกรธขึ้นมาหนเดียว ความอิ่มอกอิ่มใจนั้นก็หมดไป แม้เราสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ จุดไฟขึ้นมาอีก บ้านก็ถูกไฟไหม้อีก ดังนั้น แม้เราจะทำบุญให้ทานรักษาศีลสักร้อยครั้งพันหนก็ตาม โกรธขึ้นมาหนเดียวบุญกุศลก็หมดไป ฉะนั้น จึงกล่าวว่ามันดับทุกข์ไม่ได้ เมื่อมันดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งๆนั้นก็มีค่ามีราคาน้อย ไม่คุ้มค่าคุ้มราคากับชีวิตของเรา

ถ้าเราต้องการชีวิตที่เป็นอิสระจริงๆแล้ว เราต้องกลับมารู้ตัวเองให้มาก อย่าเป็นคนลืมตัว เมื่อไม่ลืมตัว เราก็หยุดได้ หยุดความคิดที่สับสนวุ่นวาย หยุดได้เพราะเราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ ดังนั้น คนใดที่หยุดความคิดที่สับสนวุ่นวายที่เป็นทุกข์ได้ คนนั้นก็เป็นอิสระ เป็นอิสระจากโลภะ โทสะ โมหะ สิ่งเหล่านี้แหละที่ พระโสดาบัน ละได้ เป็นอิสระออกมาได้ เป็นการหลุดพ้นขั้นต้นที่สุด ดังนั้น แม้จะรักษาศีลกินเจ ให้ทาน ภาวนาพุทโธ หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม ถ้าหากยังละไปจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ก็ชื่อว่าเป็นไม้ผุ ไม้ไม่มีแก่นไม่มีแกน

การเป็นพระอริยบุคคล ไม่ได้มีเครื่องหมายเหมือนกำนันผู้ใหญ่บ้านหรือตำรวจทหาร เครื่องแบบของพระอริยบุคคลเหล่านี้ ก็คือ กายวาจาใจที่ไม่สับสนวุ่นวายแล้ว ไม่มีทุกข์แล้ว เพราะไม่ลืมตัว ที่เราเป็นทุกข์กันเพราะเราลืมตัว มันคิดขึ้นมาเราไม่รู้เราไม่เห็นเราไม่เข้าใจ ความไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่เข้าใจนั่นแหละ คือ ความทุกข์

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มาเจริญสติ ให้มีสติเข้าไปรู้ในอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้มีสติเข้าไปรู้อยู่ตลอดเวลา เท่านั้นยังไม่พอ ยังสอนให้มีสติเข้าไปรู้ในอิริยาบถย่อย คู้ เหยียด เคลื่อนไหว กะพริบตา อ้าปาก หายใจ เมื่อรู้แล้ว ญาณปัญญาจะเกิดขึ้น

ญาณ หมายถึง รู้ ปัญญา หมายถึง รอบรู้ แต่ก่อนเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยเข้าใจ เปรียบเหมือนกับความมืด เดี๋ยวนี้เราเห็นเราเข้าใจ ก็เหมือนกับแสงสว่างที่มันเข้ามาแทนที่ความมืด เราไม่ต้องไปไล่ความมืด เพียงเราจุดไฟความมืดก็หายไป อันความโกรธ ความโลภ ความหลงนี้ก็เหมือนกัน เพียงมีสติเข้าไปรู้จิตใจของเรา ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันก็ไม่มี มันเกิดขึ้นได้เฉพาะตอนที่เราเผลอเท่านั้น

สมมติว่ามีกองขี้ไก่อยู่กลางบ้านเรา เราไปเหยียบมัน มันติดเท้าเรามา มันเหม็นเราก็ไปล้างออก แล้วเราเดินไปเหยียบอีก ติดเท้าอีก ต้องไปล้างอีก ทำไมในเมื่อเราก็รู้ว่ามันเหม็นแล้วยังไปเหยียบอีก นั่นเพราะเราเผลอ เราไม่เห็น-เราไม่รู้จัก-เราไม่เข้าใจ ถ้าเราไม่ลืมตัว เรารู้-เราเห็น-เราเข้าใจ เราก็จะไม่ไปเหยียบ ไม่ไปทำให้มันเป็นทุกข์ขึ้นมาแน่ๆ

ดังนั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องแสวงหา คือ ความหลุดพ้นของพระโสดาบัน หมายถึงหลุดพ้นไปจากโทสะ โมหะ โลภะ หลุดพ้นไปจากสามสิ่งนี้ให้ได้เสียก่อน ถ้ายังทำลายสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แล้ว ก็ยังไม่มีความมั่นคง ยังเป็นที่พึ่งให้ตนเองไม่ได้


จาก หนังสือ “เปิดประตูสัจธรรม” หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

No comments:

Post a Comment